ติดต่อสอบถาม 038-320-300

การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด

นพ. ศรัณย์ จิระมงคล

ปัจจุบันมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยมากที่สุดอันหนึ่ง และเป็นมะเร็งที่พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งทุกชนิด การรักษามะเร็งปอดยิ่งรักษาเร็วยิ่งมีโอกาสสามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่ถ้าหากเรารับการตรวจพบได้ก่อนที่จะสายเกินไป แล้วแบบใดถึงเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้รับการตรวจสุขภาพถ่ายภาพเอกเรย์ (Chest X-ray) เป็นประจำทุกปีเพียงพอหรือไม่ เป็นคำถามที่ประชากรส่วนใหญ่ยังคงตั้งคำถามกับตัวเอง ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ทุกท่านได้หันกลับมามองตนเอง และใส่ใจตนเองเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประเทศไทยกำลังพบกับปัญหาเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก Particulate Matter 2.5 (PM2.5) อย่างหนักติดอันดับโลก และเป็นที่ทราบกันดีว่า ฝุ่นละอองดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของทางเดินหายใจ รวมถึงการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน

การตรวจคัดกรอง
                การรักษามะเร็งปอดที่ดีต้องเริ่มจากการตรวจพบได้อย่างรวดเร็วเสียก่อน โดยพบว่าการตรวจพบมะเร็งปอดในระยะแรกนั้น มีอัตราการกลับมาเป็นโรคซ้ำเพียงประมาณ 20-26% เท่านั้น เมื่อเทียบกับในผู้ป่วยที่รับการรักษาในระยะที่ 3 ซึ่งพบว่ามีอัตรากลับมาเป็นซ้ำสูงถึง 52-70% (2) มะเร็งปอดในระยะแรกนั้นมักไม่มีอาการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ส่งผลให้ผู้ป่วยนั้นไม่ทราบว่าตนเองมีความผิดปกติจนกว่าจะได้รับการตรวจคัดกรอง เป็นที่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนี้ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ภายหลังจากเริ่มมีอาการผิดปกติแล้ว อาทิ อาการไอเรื้อรัง, เหนื่อยง่ายหายใจไม่สุด, ไอเสมหะปนเลือด, ปวดกระดูกเจ็บหน้าอก, เสียงแหบ และ/หรือ น้ำหนักลดผิดปกติ ซึ่งอาการดังกล่าวมักแสดงเมื่อการดำเนินของโรคเป็นมาระยะหนึ่งแล้ว

ตรวจคัดกรองด้วยเอกเรย์ปอดประจำปีเป็นประจำเพียงพอหรือไม่?
                ภาพถ่ายเอกเรย์ปอด (Chest x-ray) ปกติเป็นภาพถ่ายในรูปแบบสองมิติ เสมือนการมองภาพบุคคลในกระดาษ การดูมิติของภาพไม่สามารถบอกได้ชัดเจน การซ้อนทับกันของเส้นเลือดปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีเงาของอวัยวะภายใน อาทิ หัวใจ หลอดเลือดแดงใหญ่ และกระดูก บดบังเงาที่ผิดปกติในปอด อาจทำให้การแปลผลผิดพลาด ซึ่งการพบเห็นเงาที่ผิดปกติในเอกเรย์ปอดนั้นมักพบเมื่อก้อนมีขนาดใหญ่และอยู่ในตำแหน่งที่ชัดเจน แม้ว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีเรื่องของ AI มาช่วยในการอ่านวิเคราะห์ภาพถ่ายเอกเรย์ปอด แต่ AI ในปัจจุบันยังมีความผิดพลาดในการแปลผลอยู่อย่างมาก ในงานวิจัย พบว่าการติดตามด้วยเอกเรย์ปอดปกติทุกปีกลับไม่ลดอัตราการตายจากมะเร็งปอด จึงอาจตีความได้ว่าการตรวจเอกเรย์ปอดนั้นประสิทธิภาพในการตรวจพบมะเร็งปอดในระยะแรกนั้นไม่ดีเท่าที่ควร อาจส่งผลต่อการเข้ารับการรักษาของผู้ป่วยที่ล่าช้า

ถ้าเอกเรย์ปอดทั่วไปมองเห็นไม่ดี แล้วควรตรวจด้วยอะไร?
                การทำเอกเรย์คอมพิวเตอร์ (Chest computed tomography : CT Chest) มีข้อดีที่เหนือชั้นกว่าการทำเอกเรย์ปอดทั่วไปอย่างมาก ด้วยการมองภาพที่เห็นเป็นสามมิติ สามารถบ่งบอกลักษณะของก้อน รวมถึงตำแหน่งได้อย่างชัดเจน สามารถแยกเงาออกจากอวัยวะข้างเคียงได้ สามารถใช้สำหรับการวางแผนการรักษาได้อย่างดี และอาจมองเห็นสิ่งผิดปกติอื่นๆที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนจากภาพถ่ายเอกเรย์ปกติได้ ช่วยทำให้การวินิจฉัยเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ตรวจพบจุดผิดปกติได้แม้ขนาดของจุดจะเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร แต่การทำเอกเรย์คอมพิวเตอร์นั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำเอกเรย์ปอดทั่วไปอย่างมาก รวมถึงปริมาณรังสีที่ได้รับด้วยเช่นกัน

               เพื่อให้การคัดกรองเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และลดข้อเสียจากการทำเอกเรย์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ปริมาณรังสีที่สูง และการฉีดสารทึบแสงที่มีผลต่อไต จึงได้มีการพัฒนาเทคนิคการทำเอกเรย์คอมพิวเตอร์ปอดโดยใช้ปริมาณรังสีที่น้อยลงและไม่ต้องฉีดสารทึบแสง (Low-dose CT : LDCT) เพื่อกลบข้อเสียข้างต้นขึ้นโดยยังได้ข้อดีของการถ่ายภาพเป็นสามมิติอยู่ โดยแลกกับความละเอียดของภาพที่ลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงสามารถเห็นจุดผิดปกติได้ สามารถทำได้บ่อยมากขึ้น สามารถใช้ติดตามได้ในระยะยาว การทำเอกเรย์คอมพิวเตอร์ด้วยเทคนิคดังกล่าวจึงถูกใช้เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดที่ยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก

แล้วเมื่อใดจึงควรมาตรวจด้วย Low-dose CT?
                การมาตรวจด้วย LDCT อาจไม่ได้มีแต่เพียงข้อดีอย่างเดียวเท่านั้น การตรวจด้วย LDCT ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำเอกเรย์ปอดทั่วไปประมาณหนึ่ง อีกทั้งการตรวจพบจุดผิดปกติส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้เข้ารับการตรวจแม้ว่าจุดดังกล่าวอาจไม่ได้ร้ายแรงก็ตาม ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์จากการทำ LDCT มากที่สุด จึงแนะนำให้ตรวจในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งปอด

                เป็นที่ทราบกันดีว่าบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปอด โดยพบว่าการสูบบุหรี่นั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มากถึง 20 เท่า แต่การสูบบุหรี่ในปริมาณเท่าใดจึงนับว่ามีความเสี่ยงสูง ให้ลองคำนวณจากการคิดค่าเฉลี่ยของการสูบบุหรี่ในแต่ละวันจำนวนหน่วยเป็นซอง คูณด้วยจำนวนปีที่สูบ จะได้จำนวนซองบุหรี่ที่สูบ (pack-year) ถ้าหากท่านมีอายุ 50 ปี ขึ้นไป และคำนวณจำนวนซองบุหรี่ที่สูบได้ตั้งแต่ 20 pack-year ขึ้นไป ควรได้รับการการตรวจคัดกรองด้วย LDCT

               บุหรี่มือสองคือการสัมผัสหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการสูบบุหรี่ ทำให้ได้รับควันบุหรี่เข้าไปโดยที่ไม่ได้สูบโดยตรง  แม้ว่าจะมีรายงานถึงความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งปอด แต่การหาปริมาณที่ร่างกายได้รับยังคงคำนวณได้ยาก จึงอาจต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงอื่นๆร่วมด้วย
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่ควรพิจารณา
  • ประวัติมะเร็งปอดในครอบครัวโดยเฉพาะญาติสายตรง อันได้แก่ พ่อแม่ พี่น้อง ลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการเกิดมะเร็งในครอบครัวหลายคน หรือการวินิจฉัยมะเร็งในอายุน้อย
  • ประวัติเคยเป็นมะเร็งที่ตำแหน่งอวัยวะอื่นมาก่อน
  • ประวัติการป่วยเป็นโรคปอด เช่น ถุงลมโป่งพอง และ ภาวะผังผืดในปอด
  • การทำงานที่สัมผัสกับสารก่อมะเร็ง อาทิ สารหนู (Arsenic), แร่ใยหิน (Asbestos), ธาตุเบริลเลียม (Beryllium), แคตเมี่ยม (Cadmium), โครเมี่ยม (Chromium), ควันถ่าน (Coal smoke), ไอดีเซล (diesel fumes), นิกเกิล (Nickel), ซิลิกา (silica), เขม่า (soot) และ ยูเรเนี่ยม (uranium)
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับ Radon (ก๊าซผลผลิตจากยูเรเนียม-238 และ เรเดียม-226)
             อย่างไรก็ตามในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ผู้ป่วยโรคมะเร็งเริ่มพบว่ามีแนวโน้มอายุน้อยลงจากเมื่อสมัยก่อน ด้วยปัจจัยทางพันธุกรรม และสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่สามารถแทรกตัวเข้าไปในหลอดลมส่วนปลาย, ถุงลม และภายในกระแสเลือด มีรายงานถึงการสัมผัสกับ PM 2.5 เป็นเวลานานเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด แม้ว่าจะไม่มีประวัติการสูบบุหรี่มาก่อนก็ตาม(5) การสังเกต, ดูแลตนเอง และหมั่นตรวจเช็คสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ

มะเร็งปอดเป็นแล้วรักษายาก โอกาสเสียชีวิตสูง?
              เรามักได้ยินกันประจำถึงเรื่องการรักษามะเร็งปอดต้องให้ยาเคมีรุนแรง ผ่าตัดแล้วได้ผลไม่ดี ความเสี่ยงจากการผ่าตัดสูง รักษาไม่หายสักที อันที่จริงแล้วการรักษามะเร็งปอดในระยะแรกสามารถทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ อีกทั้งการผ่าตัดปอดในปัจจุบันวิทยาการการผ่าตัดก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ทำให้สามารถทำการผ่าตัดผ่านกล้องแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลงไม่ได้น่ากลัวเหมือนสมัยก่อนแล้ว การตรวจพบความผิดปกติในระยะแรกเริ่มจึงส่งผลดีต่อการรักษา ทั้งการผ่าตัดที่ง่ายขึ้น ความเสี่ยงจากการผ่าตัดที่น้อยลง โอกาสหายจากโรคที่สูงขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยาเคมี จึงดีกว่าหรือไม่หากเราวินิจฉัยจุดผิดปกติได้เร็วก่อนจะมีอาการหรือระยะที่รักษาได้ยาก


Reference
  1. 2024 NCCN Guidelines for Lung cancer screening
  2. Kidane B, Bott M, Spicer J, et al. The American Association for Thoracic Surgery (AATS) 2023 Expert Consensus Document: Staging and multidisciplinary management of patients with early-stage non-small cell lung cancer. J Thorac Cardiovasc Surg. 2023
  3. National Lung Screening Trial Research Team; Aberle DR, Adams AM, Berg CD, Black WC, Clapp JD, Fagerstrom RM, Gareen IF, Gatsonis C, Marcus PM, Sicks JD. Reduced lung-cancer mortality with low-dose computed tomographic screening. N Engl J Med. 2011 Aug 4;365(5)
  4. Oken MM, Hocking WG, Kvale PA, et al. Screening by Chest Radiograph and Lung Cancer Mortality: The Prostate, Lung, Colorectal, and Ovarian (PLCO) Randomized Trial. JAMA. 2011;306(17):1865–1873
  5. Hamra GB, Guha N, Cohen A, Laden F, Raaschou-Nielsen O, Samet JM, Vineis P, Forastiere F, Saldiva P, Yorifuji T, Loomis D. 2014. Outdoor particulate matter exposure and lung cancer: a systematic review and meta-analysis. Environ Health Perspect 122:906–911

 

05 เมษายน 2567

นพ. ศรัณย์ จิระมงคล

ความเชี่ยวชาญ
ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก

แพ็คเกจที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด

โปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งปอด ด้วยเครื่อง CT Scan

สูบบุหรี่จัดเป็นเวลานาน ไอเรื้อรัง ฝุ่น PM2.5 เสี่ยงเป็นมะเร็งปอด

บทความสุขภาพ

ดูทั้งหมด

แคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (CT Coronary artery Calcium Scoring)

แคลเซียมหรือหินปูนที่หัวใจ นี้อาจเกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ที่ลิ้นหัวใจ หรือที่เยื่อหุ้มหัวใจ ที่ควรระวังคือหินปูนที่เกาะที่ผนังหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเกิดจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง และจะเกิดขึ้นก่อนเกิดอาการของโรคหัวใจนานหลายปี จากการศึกษาพบว่าปริมาณแคลเซียมนี้สามารถทำนายโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกเหนือจากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือการสูบบุหรี่ ภาวะแคลเซี่ยมเกาะที่หลอดเลือดนี้ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน